ระบบเสียงกลางแจ้ง
ระบบเสียงมีอะไรบ้าง
1.
ต้องมีความเข้าใจ เป้าหมายว่าต้องการระบบแบบไหน งานสนามเครื่อง PA
( out door) หรืองานในร่ม ( In door) และลักษณะงานว่าเป้นงานที่ต้องการบุคลิค
คุณภาพเสียงแบบไหน หนักแน่น แรง โฉ่งฉ่าง เร้าใจ
( งานเทคกลางดิน ดิ้นกลางแปลง) หรืองานนุ่มนวล หวาน คมชัด สดใส ( งานโชว์เสียงร้อง
+ดนตรี งานประกวดร้องเพลง งานผู้ดี ผู้ใหญ่) เพื่อเลือกมิกเซอร์
ตู้ลำโพงและอุปกรณอื่นๆได้ถูกต้อง
2.
ต้องมีความรู้ความเข้าใจในการในการใช้งาน ปรับ
ตั้งค่าอุปกรณ์ต่างๆได้อย่างถูกต้อง เช่นการใช้การปรับมิกเซอร์ -EQ - Cross
-FX -Compressor
3.
ต้องมีความรู้ในเรื่องการปรับระบบหน้า PA ให้ระบบ
+เสียง สมดุลย์ ลงตัวกันทั้ง Mixer - EQ - Cross -FX - poweramp -
compressor (ถ้ามี) - ตู้ลำโพง
และการทำ Soundcheck หน้างานของแต่ละงาน
4 ต้องรู้จักเลือกใช้อุปกรณ์ทุกชิ้นให้ถูกต้องการลักษณะงาน
เพราะอุปกรณ์บางชิ้นจะออกแบบมาให้มีคุณสมบัติ โทนเสียง
บุคลิคเสียงเหมะกับงานไม่เหมือนกัน เช่นมิกเซอร์ sound craft บางรุ่นทำมาสำหรับงานเล็กๆ ( In door) บางรุ่นทำมาสำหรับงานสนามใหญ่ๆ
( Out door)
5 ต้องเลือกพาวเวอร์แอมป์ที่ให้โทนเสียง บุคลิคเสียงให้เหมาะที่จะใช้มาขับ
ถ่ายทอดเสียงทั้ง Low Mid hight เพราะพาวเวอร์แอมป์ยี่ห้อ
รุ่น ต่างๆจะเหมาะกับการใช้ขับเสียงหนึ่งเสียงใดเท่านั้น
มีน้อยยี่ห้อรุ่นมากที่สามารถใช้ขับเสียงทั้ง ow mid Hight ได้ดีทั้งหมด
6.
ต้องยึดหลักการ หลักวิชาการ ศาสตร์ของระบบเสียง
ศาสตร์ของระบบที่ถูกต้อง อย่าเล่นมั่วแบบเครื่องเสียงชาวบ้าน เช่น
พาวเวอร์แอมป์เขาออกแบบมาให้ใช้ได้ 4 โอห์ม
ลำโพงต่อขนานข้างละ 2 ตู้ หรือ 2 ดอก
ก็ไปเล่นกันแบบลูกทุ่ง ชาวบ้านต่อขนาน+อนุกรมข้างละ 3 ตู้
เพราะต้องการให้ตู้มากๆ ดูอลังการณ์ คิดว่าเสียงจะดังมากขึ้น..แต่จริงๆแล้วไม่ใช้
คุณภาพเสียงกลับจะแย่ลง และเบากว่า
7.ต้องเลือกใช้ดอกลำโพง ให้ถูกต้อง เหมาะสมกับพาวเวอร์แอมป์
หมายความว่าดอกลำโพงต้องมีสเป็ครับกำลังวัตต์ได้พอดี
เหมาะสมกับกำลังขับของพาวเวอร์แอมป์..ถ้าใช้ดอกลำโพงข้างละ2 ดอก
ต้องให้กำลังรับวัตต์รวมกันได้พอดี เหมาะสมกับกำลังขับของลำโพงต่อข้าง
เช่นดอกลำโพงรับกำลังขับได้สูงสุด 1000 วัตต์ 2 ดอกรวมกันก็ได้
2000 วัตต์
ดังนั้นพาวเวอร์แอมป์ต้องมีกำลังขับที่ 4 โอห์มได้ ใกล้เคียงกำลังวัตต์รวมของดอก
เช่น 1500-1800-2000 วัตต์
ถึงจะได้คุณภาพเสียงที่ดัง แรง อิ่ม แน่น หนา มีน้ำหนัก
เมื่อพูดถึงระบบในโรงละคร ห้องประชุม
ตลอดจนระบบเสียงที่ใช้ในการแสดงดนตรีหลายคนอาจจะคุ้นเคยและทราบดีว่ามันเป็นระบบที่ใช้เครื่องขยายตลอดจนอุปกรณ์ทางเสียงที่มีคุณภาพและราคาอยู่ในขั้นมืออาชีพ
(ดีและแพง) แต่ยังมีอีกเป็นจำนวนมากที่คิดว่าจะใช้เครื่องขยายเสียงที่เปิดฟังตามบ้านกับระบบเสียงดังกล่าวนี้ได้
(ลองใช้ดูหลายราย) เครื่องขยายเสียงที่ใช้ฟังตามบ้าน
ตามห้องนั้นความคงทนตลอดจนกำลังขับ (output power) ไม่เหมาะสมกับระบบเสียงใหญ่
ๆ ที่มีบริเวณกว้าง ๆ นี่เป็นเพียงความแตกต่างทางด้านอุปกรณ์เท่านั้น
มันยังมีข้อแตกต่างอีกมากมายระหว่างระบบเสียงภายในบ้าน (domertic system) กับระบบเสียงสำหรับการแสดง
(sound reinforcement system)
ระบบเสียงสำหรับการแสดงที่เราจะกล่าวถึงนี้แยกเป็นส่วนย่อยอีกระบบหนึ่งคือ
ระบบกระจายเสียงในที่สาธารณะ (Public Address) ซึ่งเรามักจะคุ้นเคยกับชื่อย่อของมันที่ว่า
ระบบพีเอ
(P.A.
system) ระบบพีเอเป็นระบบเสียงที่เน้นหนักด้านการกระจายเสียงพูด
เช่น ในการอภิปารยปาฐกถา การหาเสียง เป็นต้น
ส่วนระบบเสียงสำหรับการแสดจะมีจุดมุ่งหมายในการกระจายเสียงทั้งเสียงพูดและเสียงพูด
เสียงร้องเพลงและเสียงดนตรีควบคู่ไปด้วย ดังนั้นระบบเสียงสำหรับการแสดงจะมีความยุ่งยากและละเอียดอ่อนมากกว่าระบบพีเอ
อย่างไรก็ตาม เราสามารถใช้หลักการเดียวกันกับทั้งสองระบบได้
ระบบเสียงทั้งสองนี้มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ
ผู้ชมคนดูจะอยู่ในบริเวณเดียวกับผู้แสดง
สภาพเช่นนี้เราถือว่าผู้ชมและผู้แสดงอยู่ในสภาพธรรมชาติของเสียงแบบเดียวกัน เช่น
ถ้าอยู่ในห้องประชุมทั้งคนดูและคนแสดงจะอยู่ในสภาพเสียงก้องเสียงสะท้องแบบเดียวกัน
ถ้าอยู่ในสนามหญ้าก็จะพบปัญหาเดียวกัน
ถ้าอยู่ในสนามหญ้าก็จะพบปัญหาเสียงรบกวนจากลมและอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน
จะเห็นว่ามันแตกต่างจากการเปิดเครื่องรับ (receiver) ฟังรายการจากวิทยุหรือฟังเพลงจากเครื่องเล่นเทป
เพราะว่าสัญญาณต่าง ๆ เหล่านี้มาจากที่อื่น หรือเป็นสัญญาณที่ถูกบันทึกไว้
โดยในขณะบันทึกนั้นสภาพธรรมชาติของเสียงในห้องบันทึกกับห้องที่เรานั่งฟังนั้นแตกต่างกัน
1
เป็นระบบพีเอที่ง่ายและพื้นฐานที่สุด ถึงแม้ว่าจะใช้ไมโครโฟนหลายตัวแต่ใช้เฉพาะเสียงพูดเรายังถือว่าเป็นระบบพีเอเช่นกัน
ส่วนในรูปที่ 2
เป็นระบบเสียงสำหรับการแสดง จะเห็นว่าอุปกรณ์ต่าง ๆ เริ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะไมโครโฟนซึ่งต้องเลือกใช้กับเครื่องดนตรีเฉพาะแบบ เครื่องดนตรีต่าง ๆ
เหล่านี้มีทั้งแบบที่ใช้ไฟฟ้าและไม่ใช้ไฟฟ้า
สัญญาณจากเครื่องดนตรีเหล่านี้จะนำเข้าสู่วงจรมิกเซอร์ อีควอไลเซอร์และอื่นๆ
แล้วนำเข้าสู่เครื่องขยายเสียงเพื่อนำออกกระจายเสียงยงคนฟัง
เราจะไม่ใช้เครื่องขยายของเครื่องดนตรีชิ้นนั้น (ถ้าเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ไฟฟ้า)
กระจายเสียงไปยังคนดูโดยตรงแต่มันยังคงทำหน้าที่ขยายเสียงจากเครื่องดนตรีเพื่อให้ผู้แสดงเองได้ยินเท่านั้น
2
เราจะพบว่ามีเครื่องขยายอีกชุดที่ใช้เป็นตัวขับลำโพงมอนิเตอร์
เพื่อที่จะให้ผู้แสดงเองได้ยินระดับความดังของเสียงดนตรีหรือเสียงร้องที่ตัวเองกำลังแสดงอยู่ว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับเครื่องดนตรีชิ้นอื่น
ๆ หรือเปล่า
ประโยชน์ของการใช้มอนิเตอร์นี้จะทำให้นักดนตรีสามารถแสดงได้อย่างมั่นใจไม่พวงว่าขณะนั้น
ๆ เสียงดนตรีที่ไปยังคนดูมีคุณภาพเป็นอย่างไรบ้าง
ถ้าผิดพลาดก็จะได้แก้ไขได้ทันท่วงที ในสมัยแรก ๆ
นั้นการแสดงดนตรีมักจะไม่มีระบบมอนิเตอร์ ทำให้เสียงเพลงที่ได้ห้วน ๆ
หรือแย่งกันตะเบ็งเสียง ประโยชน์อีกข้อของการใช้ระบบมอนิเตอร์ก็คือ
จะช่วยให้การบันทึกเสียงของการแสดงเป็นไปได้ง่ายเข้า โดยต่อพ่วงจากมอนิเตอร์เลย
จุดหมายหรือเป้าหมายของระบบเสียงสำหรับการแสดง
(รวมระบบพีเอด้วย) นั้นถ้าจะพูดก็พูดได้ง่ายมาก แต่จะทำให้ได้นั้นจะยากเป็นหลายเท่าทวีคูณ
เป้าหมายใหญ่ ๆ ก็คือการกระจายเสียงร้องเสียงดนตรีไปยังคนดูด้วยระดับความดัง
ความสมจริงที่เหมาะสม ไม่ดังหรือค่อยเกินไปในทุก ๆ บริเวณและทุกเวลาที่เราต้องการ
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวเราต้องเผชิญกับปัญหาด้านต่างๆ มากมาย ดังจะได้กล่าวในตอนต่อไป
ก่อนอื่นเรามาพิจารณาถึงส่วนประกอบสำคัญของระบบเสียงที่ว่านี้
ส่วนประกอบที่สำคัญแยกออกเป็น 3 ส่วนคือ ทางด้านผู้แสดง (performers) อุปกรณ์เครื่องเสียง
(equipment) สภาพธรรมชาติของเสียงในบริเวณนั้น
(environment and acoustics) ตอนนี้บางท่านก็คงจะเข้าใจถึงระบบเสียงที่แท้จริงแล้วว่ามันไม่ใข่มีเฉพาะอุปกรณ์เครื่องเสียงเท่านั้นที่เป็นหัวใจของระบบเสียง
แต่ยังมีสิ่งที่ควบคู่มาอีก 2 อย่าง
ดังนั้นการเลือกใช้อุปกรณ์ที่ดีเยี่ยมอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้ระบบเสียงดีเท่าที่ต้องการได้
ปัญหาต่าง ๆ ที่มักจะพบบ่อยที่สุดในระบบเสียง พร้อมด้วยการแก้ไขปัญหาเหล่านี้
คุณภาพของเสียง
ปัญหาข้อนี้ขึ้นกับคุณภาพของอุปกณ์เครื่องเสียงที่ใช้ว่าจะให้ความขัดเจนมากน้อยเพียงใด
ความเพี้ยนของอุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่ในระดับที่พอเพียงหรือเปล่า ถ้าจะพูดกันง่าย ๆ
คุณภาพของเสียงขึ้นกับความเป็น Hi-Fi ของอุปกรณ์เครื่องเสียงที่ใช้
นอกจากนี้ผลตอบเชิงความถี่ยังเป็นตัวกำหนดความชัดเจนด้วย
ดังนั้นการเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีความเพี้ยนต่ำและผลตอบเชิงความถี่ที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณภาพของเสียงดีขึ้นได้
โดยปกติแล้วผลตอบเชิงความถี่ของอุปกรณ์เครื่องเสียงที่ใช้ไม่จำเป็นต้องเรียบครอบคลุมช่วงความถี่ที่ประสาทหูของคนรับรู้ได้
เพราะเสียงคนไม่เหมือนเสียงดนตรี
สำหรับเสียงพูดผลตอบเชิงความถี่ควรจะราบเรียบในช่วง 150 Hz ถึง 7 kHz ก็พอ ดังนั้น
เวลาเราเลือกใช้ไมโครโฟนเพื่อรับเสียงคนอย่างเดียวก็พยายามเลือกชนิดที่ให้ผลตอบเชิงความถี่ในช่วงดังกล่าวก็พอแล้ว
สำหรับระบบเสียงที่ต้องการทั้งเสียงนักร้องและเสียงดนตรีผลตอบเชิงความถี่อยู่ในช่วง
50 Hz ถึง 12 kHz การเลือกไมโครโฟนหรือเครื่องขยายและอุปกรณ์ปรุงแต่งเสียงอื่น
ๆ ก็ควรจะเลือกให้อยู่ในช่วงนี้
นอกจากนี้แล้วยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้คุณภาพของเสียงไม่ดีพอ
สาเหตุต่าง ๆ เหล่านี้ก็คือ สายนำสัญญาณต่าง ๆ
ถ้าใช้กับไมโครโฟนอิมพีแดนซ์สูงสายไมโครโฟนควรจะยาวไม่เกิน 20 ฟุต
และถ้าจำเป็นต้องใช้สายไมโครโฟนยาวกว่านี้ก็ควรเปลี่ยนมาใช้ไมโครโฟนแบบอิมพีแดนซ์ต่ำ
ลำโพงที่ใช้ควรมีผลตอบเชิงความถี่ทั้งในแนวตรง (on axis) จากลำโพง
และในแนวที่เยื้องออกไปจากลำโพง นั่นคือมีผลตอบเชิงมุม (polar response) ที่ดี
แบบของไมโครโฟนควรจะเลือกแบบที่มี่ผลตอบเชิงความถี่ที่เหมาะสมกับงานนั้น ๆ เช่น
เมื่อใช้กับเสียงคน เสียงดนตรี งานกลางแจ้ง รายละเอียด สำหรับแบบของไมโครโฟนที่ใช้หาได้จากบริษัทผู้ผลิต
ที่กล่าวมาเป็นการเลือกใช้อุปกรณ์เครื่องเสียงเพื่อให้ได้ผลตอบเชิงความถี่ที่เหมาะสม
(เกี่ยวกับทางด้านวงจร)
แต่ยังมีองค์ประกอบที่สำคัญที่จะทำให้ผลตอบเชิงความถี่ของเสียงไม่ดีพอ
ถึงแม้จะใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมแล้วก็ตาม สภาพธรรมชาติของเสียงในบริเวณนั้นหรือในห้งอไม่เหมาะสมทำให้เสียงความถี่สูงหรือต่ำมีระดับความดังที่ผิดปกติไป
หรือค่อยกว่าปกติไป การแก้ไขโดยมากจะใช้วงบจรเสริมแต่งเสียงเพิ่มเติม ซึ่งได้แก่
อีควอไลเซอร์ และ ฟิลเตอร์
ความเพี้ยนเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่จะทำให้คุณภาพของเสียงที่ได้ไม่ดีพอ
โดยปกติความเพี้ยนในระบบเสียงมักจะเกิดจากการขลิบยอดสัญญาณเอาต์พุต (output level) เนื่องจากความแรงของสัญญาณเข้ามากเกินไป
เช่นไมโครโฟนที่ใช้หลักการของคาปาซิเตอร์ มักจะกำเนิดความเพี้ยนในลักษณะนี้เสมอ
เมื่อมีเสียงที่ระดับความดังมาก ๆ เข้าไปความไวตัวของแผ่นไดอะแฟรมจะทำให้วงจรอิเล็กทรอนิกส์ภายในตัวไมโครโฟนขลิบยอดสัญญาณที่ออกมา
(overdrive) การแก้ไขมักจะต้องเปลี่ยนเป็นไปใช้ไมโครโฟนแบบไดนามิกที่คุณภาพดีเยี่ยม
ปรีแอมป์สำหรับไมโครโฟนและมิกเซอร์ซึ่งไม่สามารถปรับอัตรขยายสำหรับสัญญาณเข้าก็ทำให้เกิดการขลิบได้ถ้าสัญญาณที่เข้ามาแรงเกินไป
เราอาจจะใช้ชุดลดสัญญาณ (attenuation pad) ตั้งแต่ 5 dB ขึ้นไปเข้ามาต่อพ่วงช่วยลดความแรงของสัญญาณ
สำหรับอุปกรณ์ที่สามารถปรับอัตรขยายได้เราก็พยายามปรับไว้ในระดับที่เหมาะสมที่สุด
โดยมากแล้วจะใช้ VU มิเตอร์ช่วย
เครื่องขยาย (main amplifier) ของระบบก็มีส่วนทำให้เกิดอาการเพี้ยนเนื่องจากการขลิบยอดสัญญาณได้เช่นกัน
และโดยมากมักจะเกิดขึ้นกับเครื่องขยายที่ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับระบบเสียงโดยเฉพาะ
ดังนั้นเมื่อเราเร่งกำลังขยายเพิ่มขึ้นจนสุดกำลังซึ่งในช่วงนี้ความเพี้ยนของเสียงจากเครื่องขยายพวกนี้จะมีค่าสูงสุดทำให้เสียงแตกพร่าฟังไม่รู้เรื่องเลยทีเดียว
ลำโพงที่มีอิมพีแดนซ์ต่ำเกินไปจะทำให้กินกำลังของเครื่องขยายมาก
นั่นคืออัตราขยายของมันจะมีโอกาสเกินกว่าที่มันจะขับได้ในภาวะปกติ (rated power) ซึ่งจะทำให้เกิดการขลิบยอดสัญญาณได้ทั้งที่ตัวลำโพง
เองและที่เครื่องขยายด้วย
ลำโพงที่ออกแบบมาสำหรับระบบเสียงจะมีความไวพอที่จะขับสัญญาณแรง ๆ
ได้โดยไม่เกิดความเพี้ยนที่เกิดจากตัวมันเอง
ลำโพงโดยทั่วไปที่ใช้หลักการของสนามแม่เหล็กจะมีความเฉื่อยในการขับเสียงออกมาอยู่แล้ว
ทำให้เกิดความเพี้ยนโดยเฉพาะในกรณีที่ระดับสัญญาณที่เข้ามามีความแรงมาก ๆ
จะทำให้วอยซ์คอยล์ (voice coil) เคลื่อนตัวไปผิดไปจากแกนไปกระแทกหรือบีบตัวกับกรอบข้าง
ๆ เกิดเสียงแตกพร่าได้เช่นกัน
เทคนิคการติดตั้งเครื่องเสียง
1.
สายแบต
เริ่มต้นที่เบอร์ 4 เลือกใช้สายทองแดง OFC ไม่เอาสายที่แกนกลางเป็นอลูมิเนียม
แล้วเคลือบด้วยทองแดง CCA ( หลอกตา เหมือนใส่สร้อยชุบทอง )
2.
กระบอกฟิวส์
แบบขันน๊อต ( ถ้าเป็นแบบ ANL ยิ่งดี ) มีแอมป์ 1 ตัว
จะต้องมีฟิวส์ 2 ตัว
3.
สายกลาวด์ (
วัสดุเหมือนสายแบต ) ที่ใหญ่ประมาณเบอร์ 4 และสั้นที่สุด เท่าที่จะทำงานได้ (
เริ่มต้นที่ 2 เส้น )
4.
แบต 45-75 แอมป์ (
ชาร์จไฟให้เต็มก่อนลองฟัง )
4.1 ถ้าแบตในรถ
เล็กกว่า 45 แอมป์.
ผมเลือกเปลี่ยนแบตก่อน เป็นอันดับที่ 1
4.2 ถ้าแบตในรถ
เล็กกว่า 45 แอมป์.
ผมเลือกเพิ่มแบต ลูกที่ 2 ก่อน เป็นอันดับที่ 1
***
4.1 และ 4.2 ให้เลือกทำ ข้อใดข้อหนึ่ง
5.
แดมป์ประตูเต็มแผ่น
ทั้งด้านนอก และด้านใน ( ถ้าต้องการประหยัดให้เน้นด้านหลังลำโพง
ข้างละครึ่งแผ่นก็ยังดี )
6.
แผงเสริมลำโพง
อย่างหนา / เอียงขึ้น / เป็นห้องหรือเป็นเหมือนตู้ ยื่นเข้าไปในประตู (
ลองเอามือปล้องปากแล้วพูดดูครับ เสียงมันจะพุ่งกว่าใช่มั๊ย )
ข้อดีก็คือเสียงมันจะทะลุออกมาจากแผงประตูได้มากขึ้น
โดยที่เราไม่ต้องไปเสียเงินซื้อลำโพง รุ่นที่แพงขึ้น ( ร้านที่ขายเก่งๆ
เซลล์จะแนะนำสินค้าที่แพงขึ้นเรื่อยๆ)
7.
เสา a-pilla / หูช้าง ใช้สำหรับติดตั้งทวิตเตอร์
เพื่อให้ได้องศา ที่เราต้องการ (
ร้านใหญ่ๆจะเชียร์ขายลำโพงกับแอมป์และฟร้อนรุ่นแพงๆ เข้าไว้ ) โดยที่ใส่ทวิตเตอร์
ไว้ในช่องเดิม ...รู้ทั้งรู้ ว่าเสียงไม่ดี
8.
เลือกซื้อลำโพง
ที่พาสซีพเน็ตเวิอร์ค มีค่าสโลป 12 dB ทั้งของเสียงกลาง และของเสียงแหลม (
ดูจากกล่องภายนอกจะเหมือนกัน แต่ต่างกันที่อุปกรณ์ด้านใน ) ข้อ 8. สำคัญที่สุด
ถ้าใช้ลำโพงแยกชิ้น และระบบเป็น ไบแอมป์ ( 2 ย่านความถี่เสียง ไม่ใช่แอมป์ 2 ตัวน่ะครับ
9.
ถ้าในระบบมีซับ
ต้องเลือกตู้ซับ ให้เหมาะกับดอกซับวูฟเฟอร์ ( อย่าบังคับให้ดอกซับ ไปอยู่ในตู้ที่มันไม่ชอบ
) อ่านสเปค + เข้าโปรแกรมคอม ฯ ดูค่า EBP
* ค่า EBP จะเป็นตัวกำหนดว่า
จะตีตู้ เปิด หรือตู้ ปิด
10.
เลือกแอมป์
กับลำโพง ให้วัตต์ใกล้เคียงกัน
11.
ประกอบเครื่องเสียงเสร็จทั้งคัน
ให้เช็คเฟสก่อน เป็นอันดับแรก ก่อนที่จะจูนเสียง
12.
เลือกจุดตัดความถี่เสียง
ที่ครอสโอเวอร์ ให้เหมาะกับตำแหน่งการติดตั้งลำโพง ( ทั้งพาสซีพ และแอคทีฟ
ครอสโอเวอร์ )
13.
อย่าลืมทำ LEVEL MATCHING อย่าข้ามขั้นตอนนี้เด็ดขาด
14.
หางปลา ก้ามปู
ที่ใช้กับสายแบต และสายกลาวด์...จะต้องมีขนาดใหญ่เท่ากับขนาดของสาย ( ไม่ใช่ว่า
ใช้สายใหญ่ๆ แต่รูหางปลาเล็กนิดเดียว / พอใส่สายไม่ได้ ก็ต้องไปควั่นสายให้เล็กลง
) ถ้าทำแบบนี้ จะเลือกสายใหญ่ ไปทำไม
15.
สายสัญญาณ
16.
สายลำโพง
17.
CAPA มีความจำเป็นน้อยอีกเช่นกัน ถ้าทุกท่านทำมาครบแล้วทั้ง 16 ข้อ
การติดตั้งและวางระบบเครื่องเสียง
การติดตั้งและวางระบบ :
การทำงานในปัจจุบันมักจะใช้เครื่องขยายเสียง
ซึ่งการได้ยินเสียงนับได้ว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่งในการจัดวางอุปกรณ์
การติดตั้งเครื่องขยายเสียง :
เครื่องขยายเสียงใช้ในงานมักจะเกี่ยวข้องกันในสองลักษณะคือ
1. เครื่องขยายเสียงที่ใช้ฟังตามบ้าน (domestic system) ไม่เหมาะสมกับระบบเสียงใหญ่
ๆ ที่มีบริเวณกว้าง ๆ
2. ระบบเสียงสำหรับการแสดง (sound reinforcement system) ระบบเสียงสำหรับการแสดงที่เราจะกล่าวถึงนี้แยกเป็นส่วนย่อยอีกระบบหนึ่งคือ
ระบบกระจายเสียงในที่สาธารณะ (Public Address) ซึ่งเรามักจะคุ้นเคยกับชื่อย่อของมันที่ว่า
ระบบพีเอ (P.A.
system)
ระบบเครื่องขยายเสียง :
เป็นระบบเสียงที่เน้นหนักด้านการกระจายเสียงพูด เช่น ในการอภิปรายปาฐกถา
การหาเสียง เป็นต้น
ระบบเสียงสำหรับการแสดง :
จะมีจุดมุ่งหมายในการกระจายเสียงทั้งเสียงพูดและเสียงพูด
เสียงร้องเพลงและเสียงดนตรีควบคู่ไปด้วย
ดังนั้นระบบเสียงสำหรับการแสดงจะมีความยุ่งยากและละเอียดอ่อนมากกว่าระบบพีเอ
ะบบเสียงทั้งสองนี้มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ
ผู้ชมคนดูจะอยู่ในบริเวณเดียวกับผู้แสดง
สภาพเช่นนี้เราถือว่าผู้ชมและผู้แสดงอยู่ในสภาพธรรมชาติของเสียงแบบเดียวกัน เช่น
ถ้าอยู่ในห้องประชุมทั้งคนดูและคนแสดงจะอยู่ในสภาพเสียงก้องเสียงสะท้อนแบบเดียวกัน
ถ้าอยู่ในสนามหญ้าก็จะพบปัญหาเดียวกัน
ถ้าอยู่ในสนามหญ้าก็จะพบปัญหาเสียงรบกวนจากลมและสิ่งอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน
แตกต่างจากการเปิดเครื่องรับ (receiver) หรือเป็นสัญญาณที่ถูกบันทึกไว้
โดยในขณะบันทึกนั้นสภาพธรรมชาติของเสียงในห้องบันทึกกับห้องที่เรานั่งฟังนั้นแตกต่างกัน
ระบบพีเอเบื้องต้น :
ถึงแม้ว่าจะใช้ไมโครโฟนหลายตัวแต่ใช้เฉพาะเสียงพูดเรายังถือว่าเป็นระบบพีเอเช่นกัน
กระจายเสียงไปยังคนดูโดยตรงแต่มันยังคงทำหน้าที่ขยายเสียงจากเครื่องดนตรีเพื่อให้ผู้แสดงเองได้ยินเท่านั้น
ระบบพีเอหลายชิ้น : เป็นระบบเสียงสำหรับการแสดง
จะเห็นว่าอุปกรณ์ต่าง ๆ เริ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะไมโครโฟนซึ่งต้องเลือกใช้กับเครื่องดนตรีเฉพาะแบบ เครื่องดนตรีต่าง ๆ
เหล่านี้มีทั้งแบบที่ใช้ไฟฟ้าและไม่ใช้ไฟฟ้า
สัญญาณจากเครื่องดนตรีเหล่านี้จะนำเข้าสู่วงจรมิกเซอร์ อีควอไลเซอร์และอื่นๆ แล้วนำเข้าสู่เครื่องขยายเสียงเพื่อนำออกกระจายเสียงยังคนฟัง
เราจะไม่ใช้เครื่องขยายของเครื่องดนตรีชิ้นนั้น (ถ้าเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ไฟฟ้า)
กระจายเสียงไปยังคนดูโดยตรงแต่มันยังคงทำหน้าที่ขยายเสียงจากเครื่องดนตรีเพื่อให้ผู้แสดงเองได้ยินเท่านั้น
ระบบพีเอเบื้องต้น
คุณภาพของเสียง :
คุณภาพของอุปกรณ์เครื่องเสียงที่ใช้ว่าจะให้ความขัดเจนมากน้อยเพียงใด
ความเพี้ยนของอุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่ในระดับที่พอเพียงหรือเปล่า
คุณภาพของเสียงขึ้นกับความเป็น Hi-Fi ของอุปกรณ์เครื่องเสียงที่ใช้
นอกจากนี้ผลตอบเชิงความถี่ยังเป็นตัวกำหนดความชัดเจนด้วย
ดังนั้นการเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีความเพี้ยนต่ำและผลตอบเชิงความถี่ที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณภาพของเสียงดีขึ้นได้
เครื่องเสียงที่ใช้ไม่จำเป็นต้องครอบคลุมช่วงความถี่ที่ประสาทหูของคนรับรู้ได้
เพราะเสียงคนไม่เหมือนเสียงดนตรี สำหรับเสียงพูดผลตอบเชิงความถี่ควรจะราบเรียบในช่วง
150 Hz ถึง 7 kHz ก็พอ ดังนั้น
เวลาเราเลือกใช้ไมโครโฟนเพื่อรับเสียงคนอย่างเดียวก็พยายามเลือกชนิดที่ให้ผลตอบเชิงความถี่ในช่วงดังกล่าวก็พอแล้ว
สำหรับระบบเสียงที่ต้องการทั้งเสียงนักร้องและเสียงดนตรีผลตอบเชิงความถี่อยู่ในช่วง
50 Hz ถึง 12 kHz การเลือกไมโครโฟนหรือสิ่งอื่น
ๆ ก็ควรจะเลือกให้อยู่ในช่วงนี้
นอกจากนี้แล้วยังมีสาเหตุอื่น ๆ
ที่ทำให้คุณภาพของเสียงไม่ดีพอ สาเหตุต่าง ๆ เหล่านี้ก็คือ สายนำสัญญาณต่าง ๆ
ถ้าใช้กับไมโครโฟนอิมพีแดนซ์สูงสายไมโครโฟนควรจะยาวไม่เกิน 20 ฟุต
และถ้าจำเป็นต้องใช้สายไมโครโฟนยาวกว่านี้ก็ควรเปลี่ยนมาใช้ไมโครโฟนแบบอิมพีแดนซ์ต่ำ
ลำโพงที่ใช้ควรมีผลตอบเชิงความถี่ทั้งในแนวตรง (on axis) จากลำโพง
และในแนวที่เยื้องออกไปจากลำโพง นั่นคือมีผลตอบเชิงมุม (polar response) ที่ดี
คุณภาพของเสียงจากแบบของไมโครโฟน
แบบของไมโครโฟนควรจะเลือกแบบที่มี่ผลตอบเชิงความถี่ที่เหมาะสมกับงานนั้น
ๆ เช่น เมื่อใช้กับเสียงคน เสียงดนตรี งานกลางแจ้ง รายละเอียด
สำหรับแบบของไมโครโฟนที่ใช้หาได้จากบริษัทผู้ผลิต
ที่กล่าวมาเป็นการเลือกใช้อุปกรณ์เครื่องเสียงเพื่อให้ได้ผลตอบเชิงความถี่ที่เหมาะสม
(เกี่ยวกับทางด้านวงจร)
แต่ยังมีองค์ประกอบที่สำคัญที่แม้จะใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมแล้วก็ตาม
คือสภาพธรรมชาติของเสียงในบริเวณนั้นหรือในห้องไม่เหมาะสมทำให้เสียงความถี่สูงหรือต่ำมีระดับความดังที่ผิดปกติไป
หรือค่อยกว่าปกติไป การแก้ไขโดยมากจะใช้วงบจรเสริมแต่งเสียงเพิ่มเติม ซึ่งได้แก่
อีควอไลเซอร์ และ ฟิลเตอร์
เสียงรบกวนจากพัดลม มอเตอร์ คนดู
เสียงจากบริเวณข้างเคียง
เช่น เสียงรถยนต์ เครื่องจักร (ถ้ามี)
จะทำให้น้ำเสียงฟังดูคลุมเครือมาก เครื่องขยายที่ใช้ต้องมีระดับความดัง 20-25 dB มากกว่าเสียงรบกวน
ดังนั้นในบริเวณที่เสียงรบกวนมีมากเครื่องขยายและลำโพงที่ใช้เป็นแบบที่ราคาค่อนข้างแพงมาก
คุณภาพของเสียงความก้องกำธร
ความก้องกำธรของห้องจะทำให้เสียงที่ได้ฟังดูสับสนไปหมด
เพราะว่าเสียงเดิมที่ได้ยินไปแล้วจะดังตามมาอีก
มันจะแทรกเข้ามาพร้อมเสียงใหม่ที่เพิ่งพูดไป
ทำให้เกิดความสับสนเหมือนคนมีคนแย่งกันพูด
การจัดวางตำแหน่งของลำโพงที่มีมุมครอบคลุม (coverage angle) แคบจะช่วยได้มาก
โดยวางให้ปากลำโพงหันเข้าหาคนดูมากที่สุด
และพยายามหลีกเลี่ยงการหันเข้าหากำแพงหรือเพดาน ซึ่งมักจะเป็นพื้นราบกว้าง ๆ
การแก้ไขอีกวิธีที่ได้ผลแต่ราคาและค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงคือการบุกำแพงเพดานด้วยวัสดุดูดกลืนเสียง
การป้อนกลับทางเสียง (acoustic feedback)
“ไมค์หอน” นับได้ว่าเป็นปัญหาที่พบมากที่สุด
เสียงหอนที่ว่านี้มีทั้งเสียงหวีดหวิวในช่วงความถี่สูง หรือเสียงหึ่ง ๆ
ในช่วงความถี่ต่ำ โดยมันจะดังอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาและจะมีระดับความดังขึ้นเรื่อย
ๆ บางครั้งเพิ่มจนถึงอัตราขยายสูงสุดของเครื่องขยาย
นอกจากเราจะปิดเสียงเสียก่อนเท่านั้น เสียงหอนนี้เกิดจากการป้อนกลับทางเสียงระหว่างลำโพงและไมโครโฟน
ระดับความดังของเสียงหอนจะขึ้นกับอัตราขยายของลูป (loop – วงจรส่วนนั้น)
ชุดเครื่องเสียงสำหรับห้องสัมนาขนาดย่อม
ประกอบด้วย
Power
Amp Stereo 120W x 2 รุ่น STA-240P
3D
Surround Pre Karaoke รุ่น SK-202
ตู้ลำโพงพ่นสี 10″ 1 คู่ รุ่น JL-10
ขาตั้งตู้ลำโพง 1 คู่
งบประมาณ 12,733 บาท
นางสาว วรรณกานต์ แดงดิษฐ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น